วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ระบบเครือข่ายแลน


                                                                            แลน
แลน (อังกฤษ: Local Area Network หรือ LAN) หรือ ข่ายงานบริเวณเฉพาะที่ เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ถึงกันทั้งหมดโดยอาศัยสื่อกลาง มีการแบ่งแยกเครือข่ายออกเป็น 2 รูปแบบการเชื่อมโยงคือ การเชื่อมโยงภายในพื้นที่ระยะใกล้หรือ แลน (LAN) และการเชื่อมโยงระยะไกลหรือแวน (WAN) โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบแลน มี 3 รูปแบบ คือ
          
  1. Bus มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10-100 MB/sจะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียวกัน โดยจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า T-Connector เป็นตัวแปลงสัญญาณข้อมูลเพื่อนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และ Terminator ในการปิดหัวท้ายของสายในระบบเครือข่ายเพื่อดูดซับข้อมูลไม่ให้เกิดการสะท้อนกลับของสัญญาณ


2.Star เป็นระบบที่มีเป็นการต่อแบบรวมศูนย์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต่อสายเข้าไปที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub หรือ Switch โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub หรือ Switch จะทำหน้าที่เปรียบศูนย์กลางที่ทำหน้าที่กระจายข้อมูล โดยข้อดีของการต่อในรูปแบบนี้คือ หากสายสัญญาณเกิดขาดในคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆจะสามารถใช้งานได้ปรกติ แต่หากศูนย์กลางคือ Hub หรือ Switch เกิดเสียจะทำให้ระบบทั้งระบบไม่สามารถทำงานได้ทั้งระบบ
 
3.Ring เป็นระบบที่มีการส่งข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีเครื่อง Server หรือ Switch ในการปล่อย Token เพื่อตรวจสอบว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์ใดต้องการส่งข้อมูลหรือไม่และระหว่างการส่งข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆที่ต้องการส่งข้อมูลจะต้องทำการรอให้ข้อมูลก่อนหน้านั้นถูกส่งให้สำเร็จเสียก่อน
                                                                                4.เครือข่ายแบบผสม (Hybrid Topology) คือ เป็นเครือข่ายที่ผสมผสานกันทั้งแบบดาว,วงแหวน และบัส เช่น วิทยาเขตขนาดเล็กที่มีหลายอาคาร เครือข่ายของแต่ละอาคารอาจใช้แบบบัสเชื่อมต่อกับอาคารอื่นๆที่ใช้แบบดาว และแบบวงแหวน

                                                                             ข้อดีของระบบ LAN
  1. เนื่องจากผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในวง LAN เดียวกันสามารถใช้ทรัพยากรที่มีในวง LAN ร่วมกันได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อสำหรับอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ หรือสแกนเนอร์ เป็นต้น
  2. การขนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องต่อเครื่องในระบบ ทำได้รวดเร็วกว่าการขนย้ายข้อมูลด้วยแผ่นดิสเก็ต
  3. เป็นระบบพื้นฐานในการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต
ข้อเสียของระบบ LAN
  1. ถ้าสายขาดจะไม่สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้

นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายแลน

ในการบริหารจัดการเครือข่ายภายในองค์กร ปัญหาที่พบอยู่เสมอคือความผิดปกติภายในระบบที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ กว่าที่ผู้ดูแลระบบจะรับทราบถึงปัญหา เวลาก็อาจผ่านไปเนิ่นนานจนเกิดความเสียหาย อีกทั้งการระบุต้นเหตุของปัญหาก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก การนำระบบตรวจสอบการทำงานเครือข่ายอัตโนมัติมาใช้ จึงสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ดูแลระบบ ทำให้สามารถรับรู้ในทันทีที่เกิดปัญหา และสามารถทำการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้การทำงานของระบบเครือข่ายภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ
  • โปรแกรมคอมพิวเตอร์ NetHAM modul เวอร์ชัน 1.0 สำหรับบริหารเครือข่ายขนาดเล็ก พัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นระบบตรวจสอบและแสดงสถานภาพเครือข่าย โดยเฉพาะสำหรับห้างร้าน องค์กรขนาดเล็ก หรือโรงเรียน ซึ่งอาจจะไม่มีงบประมาณมากพอที่จะซื้อซอฟต์แวร์บริหารเครือข่ายราคาแพง NetHAM เน้นให้ใช้งานสะดวก มีระบบการแสดงผลด้วยภาพที่เข้าใจง่าย ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถเห็นภาพรวมของระบบได้อย่างรวดเร็ว
  • บัส (อังกฤษ: BUS) ในเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ เส้นทางการติดต่อสื่อสารเพื่อรับส่งข้อมูลร่วมกัน (shared transmission medium) ระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เสียบเข้ากับสล็อตต่าง ๆ บนเมนบอร์ดของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ, ซีดีรอมไดร์ฟ, การ์ดเสียง และการ์ดแสดง เป็นต้น
    เนื่องจากการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลผลกลางจะต้องอ่านเอาคำสั่งหรือโปรแกรมจากหน่วยความจำ มาตีความและทำตามคำสั่งนั้น ๆ ซึ่งในบางครั้งจะต้องอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อใช้ประกอบในการทำงาน หรือใช้ในการประมวลผลด้วยผลลัพธ์ของการประมวลผล ก็ต้องส่งไปแสดงผลที่จอภาพ หรือเครื่องพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ดังนั้นบัสจึงมีความสำคัญในการส่งถ่ายข้อมูลเป็นอย่างมาก
    ทั้งนี้บัสจะมีความกว้างหลายขนาด ขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่องพีซี เช่น บัสขนาด 8 บิต 16 บิต และ 32 บิต ซึ่งบัสยิ่งกว้างก็จะทำให้การส่งถ่ายข้อมูลจะทำได้ครั้งละมาก ๆ จะมีผลทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทำงานได้เร็วตามไปด้วย

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

วาฬเบลูก้า

                                                                       วาฬเบลูก้า
ชื่อสามัญ : Beluga Whale, White Whale
ชื่ออื่นๆ : วาฬเบลูกา, วาฬสีขาว, หมูสีขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Delphinapterus leucas (Pallas, 1776)

Class : Mammalia

Order : Cetacea

Family : Monodontidae




ลักษณะทั่วไป :
วาฬเบลูกาถือว่ามีขนาดตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับวาฬชนิดอื่นๆ เมื่อคลอดออกมาใหม่ๆ เจ้าเบลูกาน้อยมีขนาดประมาณ 1.5 เมตร และหนักเพียงประมาณ 80 กิโลกรัมเท่านั้น ก่อนจะเติบโตตัวยาวได้ประมาณ 5 เมตร ซึ่งตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย หนักได้ประมาณ 1,360-1,500 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียหนักได้ประมาณ 900 กิโลกรัม สำหรับสีสันบนลำตัวจะค่อยๆ จางลงจากสีเทาเข้มเป็นสีขาวบริสุทธิ์ไปตามวัย ตัวเมียจะเป็นสีขาวเมื่ออายุราว 7 ปี ส่วนตัวผู้เป็นสีขาวเมื่ออายุได้ประมาณ 9 ปี

มีอายุขัยเฉลี่ย 25-30 ปี
เมื่อโตเต็มที่ฟันของมันก็จะมีสีขาวด้วย มีรูปร่างอ้วน หัวทู่ มีสันจมูกมีกะโหลกศีรษะที่กลมมน มีรูพ่นน้ำ 1 รู Beluga เป็นภาษารัสเซีย มีความหมายว่า ขาวเท่านั้น เป็นวาฬที่ไม่มีครีบด้าน บน ซึ่งทำให้ว่ายน้ำใต้แผ่นน้ำแข็งของมหาสมุทรอาร์กติกได้โดยง่าย มีครีบที่ช่วยว่ายน้ำเล็กๆ และเป็นรอยบากที่ลึก มีกระดูกคอ 7 ข้อ ที่ไม่เชื่อมต่อกัน และควบคุมการเคลื่อนไหวของคอ
วาฬเบลูกามีฟัน 34 ซี่ ฟันของมันไม่ค่อยเหมาะกับการขบเคี้ยวนัก แต่มีความว่องไวในการฉีกกินเหยื่อ และยังสามารถกลืนเหยื่อลงไปได้ทั้งหมด



การดำน้ำ :Belugas มักจะดำน้ำประมาณ 3-15 นาทีในขณะที่ล่าสัตว์หาอาหาร พวกมันสามารถเดินทางประมาณ 1.5 ไมล์ (2.5 กิโลเมตร) ระหว่างการดำน้ำ และการดำน้ำและมักจะลึกของ 66 ฟุต (20 เมตร) เพื่อเดินทางไปล่าสัตว์ อีกครั้งที่พวกมันสามารถดำน้ำลึกประมาณ 1,300-2,100 ฟุต (400-650 เมตร) หลายครั้ง
การเร่งว่ายน้ำ :Beluga ว่ายน้ำค่อนข้างช้า พวกมัว่ายน้ำได้ความเร็วประมาณ 3-9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  แต่สามารถเร่งความเร็วถึง 22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 15 นาที
การขยายพันธุ์ :
เมื่อยังเล็กจะดื่มนมแม่ พอโตขึ้นมาก็จะกินสัตว์เล็กๆ กุ้ง หอย ปู ปลา มันกินจุประมาณ 2.5% ถึง 3% ของน้ำหนักตัว




หมีกริซลีย์

หมีกริซลีย์
หมีกริซลีย์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Carnivora) จัดเป็นชนิดย่อยของหมีสีน้ำตาล (U. arctoc)หมีกริซลีย์ จัดได้ว่าเป็นหมีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย เมื่อตัวผู้ที่มีขนาดโตเต็มที่อาจมีน้ำหนักได้ถึง 180-980 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน และยืนด้วยสองขามีความสูงถึง 2.5 เมตร หรือ 3 เมตร


ลักษณะ

หมีกริซลีย์ มีรูปร่างและสีขนทั่วไปเหมือนกับหมีสีน้ำตาลทั่วไป แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ หมีกริซลีย์จะมีขนาดรูปร่างและน้ำหนักใหญ่กว่ามาก มีส่วนจมูกและปากที่ยื่นแหลมออกมา และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากตรงบริเวณระหว่างหัวไหล่ของขาหน้าทั้ง 2 ข้าง ที่ปูดเป็นหนอกขึ้นมา ซึ่งไม่มีในหมีชนิดอื่น ๆ ซึ่งทำให้หมีกริซลีย์มีพละกำลังในการขุด, ตะปบ, ปีนป่าย และวิ่ง ซึ่งความเร็วในการวิ่งเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีเล็บนิ้วยาวและแข็งแรง แหลมคม ซึ่งมีความยาวพอ ๆ กับนิ้วมือมนุษย์


อาหาร

หมีกริซลีย์ สามารถกินได้ทั้งเนื้อสัตว์และพืช, ผักผลไม้เป็นอาหาร เช่น ผลไม้จำพวกเบอร์รี แต่อาหารหลักของหมีกริซลีย์แล้วจะเป็นปลา โดยจะลงไปจับในลำธารหรือน้ำตกขณะที่ปลาว่ายผ่าน เช่น ปลาแซลมอน, ปลาเทราต์ หรือปลาเบส แต่ก็สามารถฆ่าและล่าสัตว์ขนาดใหญ่เป็นอาหารได้ด้วย เช่น กวางมูส หรือแม้แต่กระทั่งมนุษย์


แหล่งอาศัย

หมีกริซลีย์ กระจายพันธุ์อยุ่ทั่วไปในทวีปอเมริกาเหนือและอะแลสกา ความใหญ่โตของร่างกายขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของแหล่งอาหาร ทำให้หมีกริซลีย์ที่อยู่ในประเทศแคนาดาและอะแลสกาจะตัวใหญ่กว่าในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีอาหารที่อุมสมบูรณ์กว่า แต่เมื่อถึงฤดูหนาวก็จะเข้าถ้ำเพื่อจำศีลเช่นเดียวกับหมีทั่วไป ขณะที่ตัวเมียที่ตั้งท้องจะให้กำเนิดลูกในช่วงนี้ ครั้งละไม่เกิน 3 ตัว โดยที่แม่หมีหรือหมีที่จำศีลจะไม่กินอาหารเลย แต่จะใช้พลังงานที่สะสมไว้จากอาหารที่กินเก็บไว้เผื่อก่อนเข้าสู่ฤดูกาลนี้ ซึ่งลูกหมีที่เกิดใหม่ จะมีความยาวราว 8 นิ้ว และไม่มีขนปกคลุมลำตัวเลย ยังไม่มีฟันและลืมตาไม่ได้ ใน 40 วันแรก ลูกหมีจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากดูดนมแม่และนอนซุกอยู่กับตัวแม่ และจะมีพัฒนาการขึ้นเรี่อย ๆ ภายในระยะเวลา 1 ปี ลูกหมีจะมีน้ำหนักได้ประมาณ 50 ปอนด์ เมื่อโตได้ที่แล้ว แม่หมีจะพาลูก ๆ ออกจากถ้ำเพื่อหาอาหาร และสอนวิธีการดำรงชีวิตให้
โดยปกติแล้ว หมีกริซลีย์ถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่สันโดษ ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ หรือช่วงที่มีลูกอ่อน หรือในช่วงที่อาหารขาดแคลน ซึ่งหมีจะมีความดุร้ายมาก และบุกเข้าทำร้ายและฆ่าผู้รุกรานได้ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์

วัวมัสค์


วัวมัสค์

เรียกว่าวัว แต่ความจริงเป็นสัตว์ในตระกูลใกล้เคียงกับแกะและแพะเป็นหนึ่งในสัตว์ใหญ่ไม่กี่ชนิดที่สามารถอาศัยอยู่ในดินแดนอาร์กติกได้ตลอดทั้งปีด้วยมีขนชั้นนอกหยาบหนายาวเรี่ยพื้นช่วยป้องกันหิมะและฝนเสริมด้วยขนนุ่มสีน้ำตาลชั้นในคอยรักษาความอบอุ่นให้ร่างกายในฤดูร้อนฝูงวัวมัสก์จะตระเวนหากินแถบพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้แม่น้ำเมื่อเข้าฤดูหนาวพวกมันจะอพยพขึ้นสู่ที่ราบสูงหรือแนวเขาลาดชันที่ลมแรง ไม่มีหิมะสะสมเป็นชั้นหนาทำให้แทะเล็มมอสและไลเคนตามพื้นได้สะดวก
ช่วงศตวรรษ ๑๘๐๐ – ๑๙๐๐ ความนิยมล่าวัวมัสก์แพร่ไปทั่วแถบอะแลสกา ยุโรปตอนเหนือ และไซบีเรีย
เหลือเพียงกรีนแลนด์และทางเหนือของแคนาดาเท่านั้นที่ยังมีวัวมัสก์ชุกชุมแม้ภายหลังจะมีการออกกฎหมายห้ามล่าและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ แต่ก็ไม่อาจฟื้นฟูประชากรวัวมัสก์ได้ไม่มากนัก



วันนี้พวกมันโดนคุกคามอีกระลอกจากสภาวะโลกร้อน อากาศแถบอาร์กติกแปรปรวนบ่อยขึ้น
หิมะที่ตกหนัก ยังจะฝนเเยือกแข็ง (freezing rain)
ซึ่งเมื่อไหลซึมชั้นหิมะลงไปจะจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งหนาคลุมทับแหล่งอาหารสำคัญของวัวมัสก์
ในปี ค.ศ. ๒๐๐๓ สภาวะดังกล่าวทำให้วัวมัสก์อดตายไปแล้วประมาณ ๒ หมื่นตัว
ขณะเดียวกันฤดูร้อนที่อุ่นขึ้นรวดเร็วและยาวนานกว่าเดิม
ทำให้ทากไม่มีเปลือกซึ่งเป็นพาหะของพยาธิปอดสามารถอยู่รอดได้นานขึ้น
ความเสี่ยงที่วัวมัสค์จะรับตัวอ่อนพยาธิปอดในระยะติดต่อซึ่งมากับทาก
ที่ปะปนอยู่ในอาหารของพวกมันจึงมากขึ้นตามไปด้วย
และเมื่อพวกมันอ่อนแอ ก็จะพลาดท่าตกเป็นอาหารของหมีกริซลีได้ง่ายขึ้นด้วย

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนูเลมมิ่ง

                                                          เลมมิ่ง (Lemming)                                                                           เป็นสัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บริเวณใกล้แถบอาร์กติก ลักษณะคล้ายกระรอก กับหนูผสมๆ กัน   ในจินตนาการของผมเลมมิ่งเหมือนเม่นขนปุย
สิ่งที่น่าสนใจกว่าหน้าตาที่น่ารักของตัวเลมมิ่งก็คือ พฤติกรรมของตัวเลมมิ่ง เลมมิ่งเป็นสัตว์สังคม มักอพยพไปเป็นฝูงๆ โดยแต่ละตัวจะเดินตามก้นตัวหน้า (ถ้ามี) นั่นทำให้เลมมิ่งสามารถอพยพเป็นฝูงๆ ได้
แต่ทว่าวิธีการนี้ก็มีข้อเสีย เนื่องจากหากตัวเลมมิ่งตัวหน้ากระโดดเหวตกทะเล เลมมิ่งตัวถัดไป (และตัวถัดๆ ไป) จะกระโดดเหวฆ่าตัวตายตามกันเป็นหมู่ นับว่าเป็นพฤติกรรมที่ประหลาดยิ่งนัก
ไม่ใช่ตัวเลมมิ่งอย่างเดียวที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ มดป่าบางสายพันธุ์ก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ด้วย จึงมีบางครั้งที่เราพบกองทัพมดป่าสายพันธุ์นี้อดข้าวตายเนื่องจากเกิดการเดินวนเป็นวงกลมรัศมีประมาณ 2-3 กิโลเมตร นับว่าเป็น DeadLock โดยบังเอิญ
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตัวเลมมิ่งกลับถูกนำมาใช้ความหมายว่า (การกระทำตามความคิดของคนหมู่มากจนทำให้เกิดความล้มเหลว) มักเกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่อยู่ดีๆ ก็มีการเทขายหุ้นจำนวนมาก คนที่ถือหุ้นอยู่เกิดตื่นตัวกลัวราคาหุ้นตกลงไปอีก จึงทิ้งหุ้นตาม อาจทำให้ผู้ถือหุ้นนั้นขาดทุน หรืออาจทำให้บริษัทผู้ออกหุ้นนั้น ถึงกับเจ๊งได้
สาเหตุที่ตัวเลมมิ่งเป็นสัญลักษณ์ของพฤติกรรมนี้มากกว่าสัตว์ชนิดอื่น เพราะเคยมีเกมคอมพิวเตอร์ชื่อ Lemmings ซึ่งผู้เล่นต้องพยายามจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ตัวเลมมิ่งเดินตกเหวหรือกัดักได้

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หมาจิ้งจอกอาร์กติก


                                                                หมาจิ้งจอกอาร์กติก
หมาจิ้งจอกอาร์กติก หมาจิ้งจอกขั้วโลก หรือ หมาจิ้งจอกหิมะ (อังกฤษ:  Arctic fox, Snowy fox, Polar fox; ชื่อวิทยาศาสตร์: Vulpes หรือ Alopex lagopus) เป็นหมาจิ้งจอกขนาดเล็ก อาศัยอยู่ทั่วไปในเขตชายผั่งมหาสมุทรอาร์กติก ตลอกจนเขตทุนดราที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง                                 จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอีกชนิดหนึ่ง ที่มีขนสีขาวเพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ช่วยให้ล่าเหยื่อได้ง่าย และสามารถพรางตัวจากศัตรูได้ด้วย

ลักษณะภายนอก
หมาจิ้งจอกอาร์กติกจัดว่าเป็นสัตว์ที่สามารถปรับสภาพให้ดำรงอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวจัดได้ดีชนิดหนึ่ง มีระบบการปรับอุณหภูมิ ที่สามารถควบคุมความร้อนในร่างกายได้ หมาจิ้งจอกอาร์กติกจะมีใบหน้าที่สั้นกว่าหมาจิ้งจอกชนิดอื่น และมีใบหูที่เล็ก ขนของมันฟูหนา เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน มันจะมีขนอยู่บริเวณอุ้งเท้าเพื่อช่วยให้เดิน และวิ่งบนพื้นน้ำแข็งได้ในช่วงที่หิมะตกหนัก หรือเกิดพายุ หมาจิ้งจอกอาร์กติกจะขุดโพรงลึกลงไปใต้หิมะ และขดตัวนอนโดยใช้หางของมันตวัดมาปิดตัวและหน้าไว้คล้ายคนห่มผ้าห่ม และเมื่อฤดูหนาวหมดลง หิมะเริ่มละลาย ต้นไม้เริ่มผลิใบอ่อน หมาจิ้งจอกอาร์กติกเองก็มีการเปลี่ยนแปลง ขนสีขาวของมันจะร่วงลง และมีขนสีเทาอมน้ำตาลขึ้นแทนและจะสั้นกว่าขนในฤดูหนาว ทำให้ตัวมันดูเล็กลง และมีขนาดเท่าแมวบ้านเท่านั้น ในขั้วโลกเหนือฤดูร้อนนั้นสั้นมาก และเมื่อฤดูหนาวกลับมา จิ้งจอกขั้วโลกก็จะเปลี่ยนสีขนกลับไปเป็นขนสีขาวอีกครั้ง เป็นการบอกให้รู้ว่า การต่อสู้กับความหนาวเย็นกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง

ขนาด                                                                                                                                                ความยาววัดตั้งแต่หัวถึงลำตัว เพศผู้ประมาณ 55 เซนติเมตร (22.7 นิ้ว) และเพศเมียยาวประมาณ 53 เซนติเมตร (20.9 นิ้ว) ความยาวของหาง เพศผู้ประมาณ 31 เซนติเมตร (12.2 นิ้ว) และความยาวของหางเพศเมียประมาณ 30 เซนติเมตร (11.8 นิ้ว) ความกว้างของลำตัวจิ้งจอกขั้วโลก ประมาณ 25-30 เซนติเมตร (9.8-11.8 นิ้ว) น้ำหนักโดยประมาณของเพศผู้ ประมาณ 9 ปอนด์ (4.1 กิโลกรัม) ในขณะที่เพศเมียน้ำหนักประมาณ 6-12 ปอนด์ (2.7-5.4 กิโลกรัม)

การออกลูก                                                                                                                                              ในฤดูใบไม้ผลิ ช่วงต้นเดือนกันยายนจนถึงพฤษภาคม ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 52 วัน แม่หมาจะให้กำเนิดลูก โดยครอกหนึ่งจะมีประมาณ 6-7 ตัว ลูกหมาจะเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันก่อนฤดูหนาวจะมาถึง ในช่วงเวลานี้พวกมันจะกินอาหารเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมรับมือกับฤดูหนาวที่จะมาถึง หมาจิ้งจอกขั้วโลกจะเก็บอาหารไว้สำหรับฤดูหนาว เช่น ฝังซากหนูเลมมิ่งไว้ใต้หิมะ, เก็บไข่ไว้ในโพรงหิน บางตัวจะเก็บนกเล็ก ๆ ไว้ถึง 27 ตัว และไข่อีก 40 ฟอง สำหรับฤดูหนาว ลูกหมาอาจจะยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในช่วงแรกจนขนบริเวณอุ้งเท้ามันหนาขึ้นเพื่อช่วยให้เดิน และวิ่งบนพื้นน้ำแข็งได้ในช่วงที่หิมะตกหนัก

การล่าเหยือ                                                                                                                                                ในช่วงที่อากาศดี หมาจิ้งจอกอาร์กติกจะออกมาหาอาหาร ตามปกติมันจะล่าสัตว์เล็ก ๆ เช่น หนูเลมมิ่ง, นกกระทาขั้วโลก บางครั้งถ้าโชคดี ก็จะเจอซากสัตว์ที่หมีขั้วโลกกินเหลือทิ้งไว้ ก็จะกินซากนั้น

แมวน้ำลายพิณ

                                                   สัตว์ของขั้วโลกเหนือ(3)
                                                          แมวน้ำลายพิณ
แมวน้ำลายพิณ (อังกฤษ: Harp Seal) เป็น แมวน้ำชนิดหนึ่งมีลายรูปพิณฝรั่ง อยู่กลางหลัง อาศัยอยู่แถบขั้วโลกเหนือ มหาสมุทรอาร์กติก ลูกแมวน้ำลายพิณมีขนฟูสีขาวมักโดนล่าเพื่อนำหนังไปทำเสื้อผ้า ในสหภาพยุโรปได้ประกาศห้ามนำเข้าขนแมวน้ำสีขาวและผลิตภัณฑ์จากแมวน้ำลายพิณทุกประเภท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526

   

                                             9เรื่องที่ควรรู้ของ...แมวน้ำพิณ

1.ขนโปร่งแสง ลูกแมวน้ำพิณแรกเกิดจะมีขนสีเหลืองนวลแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนในอีก 2 วันต่อมา ขนละเอียดมันวับของมันมีลักษณะโปร่งแสง เพื่อให้แสงแดดสามารถส่องไปโดนผิวหนังได้ ร่างกายจะได้อบอุ่น ลูกแมวน้ำพิณจะมีสีขาวเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น หลังจากนั้นมันจะผลัดขนเป็นสีเทาเหมือนขนของพ่อแม่ ช่วงที่มีขนขาวจึงเป็นช่วงอันตรายที่สุด เพราะมนุษย์จะตามล่าเพื่อถลกขนขาวๆ ของมันไปทำเป็นเสื้อหนาว

2.โตเต็มวัยใน 2 สัปดาห์ ลูกแมวน้ำพิณโตไวทันใจเพราะได้ดื่มนมแม่ที่มีสารอาหารเข้มข้นกว่านมวัวถึง 10 เท่า ช่วง 2 สัปดาห์แรกน้ำหนักตัวของมันจะเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ชั้นไขมันใต้ผิวหนังจะหนาเป็นนิ้ว เมื่อยามแม่ทิ้งให้หากินเองมันจึงมีพลัง และความอบอุ่นเพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ ภายในเดือนเดียวลูกแมวน้ำพิณจะรู้วิธีว่ายน้ำ และหาอาหารมาประทังชีวิต 3.เดินทางไกล 6,000 ไมล์
ทุกๆ ปี แมวน้ำพิณอพยพย้ายถิ่นไปกลับเป็นระยะทางกว่า 6,000 ไมล์ โดยช่วงฤดูร้อนจะ
หากินอยู่ในทะเลอาร์กติกตอนเหนือ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ก็จะอพยพลงใต้ไปเลี้ยงลูก
กันที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ในแคนาดามันจะทยอยว่ายน้ำไปด้วยกันเป็นฝูงๆ เล็กๆ ไม่เกิน 20 ตัว แต่
เมื่อมากันครบหน้า ลานน้ำแข็งของอ่าวเซนต์ลอเรนซ์จะมีแมวน้ำแน่นขนัดนับล้านๆ ตัว
พวกมันจะตกลูกและอยู่กับลูกประมาณ 1 เดือนจึงย้ายกลับไปหากินทางเหนืออีกครั้ง
3.ปาร์ตี้ใต้ลานน้ำแข็ง
ช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืนถึงตี 5 เป็นช่วงเวลาแห่งการปาร์ตี้ของแมวน้ำพิณ โดยจะลงไปสังสรรค์กันใต้ลานน้ำแข็ง ผู้เชี่ยวชาญเคยแอบดักฟังการสนทนาของแมวน้ำพิณ โดยใช้สว่านเจาะน้ำแข็งเป็นโพรงแล้วสอดเทปบันทึกเสียงลงไปใต้น้ำ ปรากฏว่าเสียงที่บันทึกได้เป็นเสียงที่อึกทึกของแมวน้ำนับหมื่นๆ ตัว ที่แย่งกันพูดแบบไม่มีใครฟังใคร
4.แกล้งตาย ลูกแมวน้ำพิณมีลูกเล่นที่ช่วยเอาชีวิตรอดจากหมีขั้วโลกได้ในยามคับขันนั่นคือ การแกล้งตาย ขนสีขาวฟูของมันดูกลมกลืนกับหิมะขาวโพลนบนพื้น ดังนั้น มันจึงนอนแน่นิ่ง หดหัวซ่อนไว้ข้างใต้เพื่อให้แลดูคล้ายกองหิมะ หัวใจที่เคยเต้น 80-90 ครั้งต่อนาทีจะลดเหลือเพียง 20-30 ครั้งต่อนาที ถ้าลูกเล่นนี้ได้ผล หมีขั้วโลกก็จะมองข้ามไป แล้วเร่ไปหาอาหารทางอื่น ลูกแมวน้ำพิณจึงค่อยนอนเหยียดสบายใจอีกครั้ง
5.ดำน้ำลึก
ปกติแมวน้ำพิณจะกลั้นหายใจได้ราว 5 นาที แต่ถ้าจำเป็นมันก็สามารถกลั้นหายใจได้นานถึง 20 นาที และดำน้ำได้ลึกถึง 800 ฟุต ซึ่งลึกกว่านักประดาน้ำถึง  6 เท่า ซ้ำยังดำน้ำได้เร็วมาก ใช้เวลาแค่ 15 วินาทีต่อความลึก 100 ฟุต แต่มันก็ต้องคอยหลบวาฬออร์กาและฉลามดีๆ ไม่เช่นนั้นมีสิทธิ์ถูกจับกินเป็นอาหารได้ทันที
6.แปลงกายดั่งร่ายมนตร์
แมวน้ำพิณแปลงร่างอย่างรวดเร็ว จากขนสีเหลืองนวลเมื่อตอนแรกเกิด เป็นขนสีขาวโพลนในตอน 2  สัปดาห์แรก จากนั้นก็จะแปลงร่างเป็นแมวน้ำขนสีเทาหม่นๆ พออายุได้ 4 ปี ขนก็จะเปลี่ยนเป็นสีเทาเงินมีลายจุดประปรายตามตัว ทำให้คนเรียกมันว่า แมวน้ำลายจุด แมวน้ำตัวเมียบางตัวจะคงลักษณะเช่นนี้ไปจนตาย แต่ตัวผู้และตัวเมียส่วนใหญ่จะแปลงร่างอีกครั้ง โดยสร้างลายสีดำคล้ายรูปพิณที่บริเวณหลัง ทำให้ได้ชื่อว่า "แมวน้ำพิณ"
7.จมูกไว
แม่แมวน้ำพิณจะดมกลิ่นลูกและจดจำเอาไว้ตั้งแต่แรกเกิด พอมันทิ้งลูกไปลงน้ำสังสรรค์กับพวกแล้วกลับมาให้ลูกกินนม ก็จะใช้วิธีดมกลิ่นหาลูกจนเจอ ลูกแมวน้ำที่นอนเกลื่อนพื้นนับหมื่นๆ ตัว จึงไม่เคยพลัดหลงกับแม่ เพราะแม่จำกลิ่นของมันได้เสมอ
8.คุยกันอย่างสุภาพ แมวน้ำส่งเสียงคุยกันในโทนเสียงต่างๆ อาทิ เสียงแหลม เสียงทุ้ม เสียงกระซิบ ที่น่าสนใจก็คือ คู่สนทนาจะผลัดกันพูดและหยุดพูดเพื่อรับฟังกันและกันอย่างสุภาพ
9.ยังไม่รู้ชะตาในอนาคต เดิมทีลูกแมวน้ำพิณเคยถูกล่าอย่างทารุณ เพื่อถลกหนังไปขาย ปัจจุบันมันได้รับการคุ้มครองอย่างดี ทำให้จำนวนประชากรแมวน้ำพิณคงที่อยู่ที่ 8 ล้านตัวทั่วโลก ทว่า อนาคตยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะภาวะโลกร้อนกำลังเป็นมหันตภัยใหม่ที่คุกคามโลก และส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของแมวน้ำพิณโดยตรง